วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

ความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วย “บูรณาการ”

ความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วย “บูรณาการ”

ปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความซับซ้อนมาก คงยากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสามารถจัดการแก้ไขได้ และดูเหมือนแต่ละประเด็นของปัญหาก็เชื่อมโยงกันไปเหมือน “งูกินหาง” หรือพูดง่ายๆว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมันจะไม่จบลงง่ายๆ แต่กลับจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นตามมาหรือซ้อนขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาใดๆในปัจจุบัน จึงต้องอาศัยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มา “ร่วมแรงร่วมใจกัน” จัดการแก้ไข พูดให้ทันยุคทันสมัยก็ต้องบอกว่า ต้องมา “บูรณาการ” ในการจัดการปัญหานั่นเอง

คำว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือ หลายคนเรียกติดปากว่า “ซีเอสอาร์” (CSR) นั้น คิดว่าแทบทุกองค์กรต่างปฏิบัติ เพียงแต่โดยเนื้อหาสาระของการปฏิบัตินั้น อาจจะต่างกันไป เพราะจริงๆแล้ว การปฏิบัติเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมนั้น มันค่อนข้างกว้าง มีรูปแบบได้หลากหลาย ตั้งแต่ การบริจาค การทำบุญ การให้พนักงานทำเรื่องจิตอาสา การช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน ไปจนถึงนำเข้ามาเป็นกลยุทธ์ขององค์กรซึ่งจะปฏิบัติต่อเนื่องหลายปี เช่น โครงการสร้างอาชีพให้ชุมชน(ที่องค์กรมุ่งช่วยเหลือ)ได้ช่วยเหลือพึ่งตนเองได้ เป็นต้น สิ่งที่พบคือ โดยส่วนมากแล้ว มักจะเป็นโครงการที่องค์กรธุรกิจ “คิดขึ้นมาเอง” หรือ “เข้าไปร่วมกับโครงการภาครัฐ” แม้ว่าจะเป็นการทำสิ่งที่ดีต่อสังคม แต่ยังไม่ถือว่าเป็นการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เหตุผลส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการปฏิบัติเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมนี้ ไม่ได้ถูกบังคับให้ทำ เป็นเพียงแค่ข้อเสนอหรือการเรียกร้องจากภาคสังคมให้เกิดความรับผิดชอบจากทางภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมบ้าง เพราะภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมนั้น ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก แล้วยังปล่อยเศษเหลือ ขยะ หรือของเสียที่เป็นพิษกลับคืนสู่สังคมอีกด้วย

อีกเรื่องที่ดูจะเป็นภาพที่ไม่ดีของภาคธุรกิจ คือ “การฟอกเขียว” หรือเข้าใจง่ายๆว่า การสร้างภาพให้ดูเป็นองค์กรที่รักษ์โลก ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการหาประโยชน์จากกระแส “รักษ์โลก” (หรือ Green) ถ้าสังเกตในชีวิตประจำวัน มักจะเห็นการโฆษณาของหลายๆบริษัทที่ผลิตสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือมีกระบวนการลดการปล่อยของเสียออกสู่ธรรมชาติ แน่นอนว่าบางบริษัทก็ทำเช่นนั้นจริงๆ แต่ก็มีบางบริษัทที่ใช้เป็นช่องทาง(แบบผิดจริยธรรม)ในการสร้างภาพหรือโฆษณาเกินจริง หรือแม้แต่การบอกข้อมูลไม่ครบถ้วนเพื่อหวังให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สิ่งเหล่านี้ก็คือ “การฟอกเขียว” นั่นเอง ประเด็นนี้ยิ่งส่งผลให้เกิดภาพลบมากยิ่งขึ้นของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม  



ดังนั้น คำตอบของเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม จึงน่าจะอยู่ที่การหันหน้าเข้ามาพูดคุยและร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดการกับปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ หรือ “บูรณาการ” ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกันนั่นเอง โดยปัจจัยที่สำคัญในการบูรณาการให้เกิดความสำเร็จนั้น มีดังนี้

1.       การร่วมมือร่วมใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง
การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องมา “จับเข่า” คุยกัน การจะทำเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมให้ได้ผลระยะยาวก็ต้องเอาทั้งคนในภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรม มานั่งคุยกับภาคประชาชน ชุมชนที่อยู่รอบข้าง ภาครัฐที่มีบทบาทในการออกกฎระเบียบและควบคุม อาจจะรวมไปถึงภาคการศึกษาและวิจัยอย่างเช่น มหาวิทยาลัยที่มุ่งสนใจในประเด็นปัญหาดังกล่าว เมื่อพร้อมทุกฝ่ายแล้ว ก็ต้องมี “ผู้นำ” หรือผู้เป็นประธานในการพูดคุยและวางแผนร่วม เพื่อให้สามารถเดินไปสู่ทางออกของการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มุ่งจะแก้ไข ซึ่งจุดนี้ถือเป็น “จุดสตาร์ท” หรือจุดเริ่มที่สำคัญที่สุด หากไม่สามารถพูดคุยกันได้ การดำเนินไปขั้นตอนถัดๆไปคงทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย
กรณีหนึ่งที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง คือ รัฐบาลของประเทศสิงคโปร์ โดยในวารสาร The Economist ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ได้นำเสนอการประชุมทางด้านความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ โดยทางรัฐมนตรีด้านวัฒนธรรม ชุมชนและเยาวชนของสิงคโปร์ได้ระบุว่า ประเทศสิงคโปร์มีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างให้ประเทศเป็นศูนย์กลางทางด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งการประกาศออกมาเช่นนี้ ถือเป็นการแสดงความเป็นผู้นำระดับโลกของสิงคโปร์ที่จะสร้างสังคมโลกที่น่าอยู่และมุ่งเน้นด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

2.       การใช้ความรู้ความสามารถและทรัพยากรจากภาคธุรกิจ
แน่นอนว่าภาคธุรกิจนั้น มีองค์ความรู้ ความสามารถและทรัพยากรที่สามารถช่วยจัดการกับปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจริงๆแล้ว ก็สมควรที่จะต้องทำ เนื่องจากภาคธุรกิจและภาคอุตสากรรมนั้น ได้ใช้ทรัพยากรโลก เพื่อเป็นวัตถุดิบในการสร้างผลิตภัณฑ์ รวมถึงยังปล่อยของเสียออกมาสู่ธรรมชาติ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ความร้อนจากกระบวนการผลิต น้ำเสีย ขยะต่างๆ ดังนั้น จึงควรนำความรู้ ความสามารถและทรัพยากรบางส่วน มาช่วยเหลือสังคมด้วย อย่างกรณีที่มีการเรียกร้องว่า ภาคธุรกิจเองก็ถือเป็น “พลเมืองโลก” ที่อยู่ในสังคมเช่นเดียวกัน อย่างน้อยๆก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือจะให้ดีกว่านั้น ภาคธุรกิจต้องดำเนินงานในเชิง “ป้องกัน” ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมปัญหาที่มีอยู่
เมื่อกล่าวในกรณีการป้องกันปัญหานี้ ตัวอย่างที่ดีที่สุดตัวอย่างหนึ่ง คือ บริษัทพรมขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่มีผู้นำอย่าง เรย์ แอนเดอร์สัน(ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท) ได้ริเริ่มกระบวนการ “ป้องกัน” ปัญหา โดยปรับระบบโรงงานและองค์กรใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ปี 1994 เพื่อไม่ให้บริษัทก่อปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป ซึ่งนอกจากจะป้องกันและลดปัญหาแล้ว ยังทำให้บริษัทเติบโตมากขึ้นอีกด้วย  บริษัทนี้จึงยืนยันได้ว่า การทำเพื่อสังคม “ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย” แต่จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและผลกำไรในระยะยาว หากทำอย่างถูกต้องและมีระบบ

3.       เป้าหมายองค์กรที่ประกอบด้วยเป้าหมายทางสังคมและเป้าหมายเพื่อผลกำไร
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำธุรกิจก็ต้องหวังผลกำไร แต่การจะทำเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมแบบบูรณาการให้ได้ผลในระยะยาวนั้น องค์กรธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมจะทำแบบเดิมๆคงไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องสร้าง “เป้าหมายองค์กรแบบใหม่” ที่มีทั้งเป้าหมายเพื่อหวังผลกำไรและเป้าหมายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย เพราะการตั้งเป้าหมายลักษณะเช่นนี้ จะทำให้ทุกแผนกในบริษัทยังคงมุ่งสร้างธุรกิจให้เติบโต โดยที่ไม่ละทิ้งการทำเพื่อสังคมไปพร้อมๆกันและตลอดเวลา เพราะการปฏิบัติความรับผิดชอบต่อสังคมแบบเดิมๆนั้น มักจะทำกันเป็นช่วงๆ เป็นโครงการระยะสั้นๆ อาจะวันเดียว หรือสัปดาห์เดียว ผลกระทบต่อสังคมจะน้อยและสั้นเกินไปที่จะทำให้สังคมและชุมชนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริง

4.       การสร้างนวัตกรรมเพื่อหวังผลระยะยาว

มาถึงขั้นตอนรูปธรรมในการปฏิบัติ หลังจากผ่านกระบวนการร่วมมือร่วมใจในการกำหนดยุทธศาสตร์และวางแผนมาแล้ว การปฏิบัติในลักษณะเช่นเดิม เช่น จิตอาสาแบบเดิมแต่เพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชน แบบนี้อาจจะได้ผลระยะสั้น การทำเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมแบบบูรณาการและได้ผลระยะยาวนั้น อาจจะต้องสร้างนวัตกรรมขึ้นมา และอาจจะแยกออกมาจากหน่วยธุรกิจเดิมของภาคธุรกิจ ให้มีลักษณะจำเพาะที่จะตอบโจทย์ในการจัดการปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น กรณีของภาวะทุพโภชนาการของเด็กที่บังคลาเทศ โดยสถิติพบว่า 1 ใน 2 เด็กบังคลาเทศจัดอยู่ในภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็น บริษัทดานอนได้ร่วมมือกับ ดอกเตอร์ยูนัส (ผู้ก่อตั้งธนาคารคนยากที่บังคลาเทศ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ) สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยเหลือเด็กๆเหล่านี้ให้พ้นจากภาวะดังกล่าว ซึ่งบริษัทดานอนได้ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษและจำหน่ายในราคาที่เด็กซื้อกินได้ นับเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่ได้ประโยชน์ทั้งภาคธุรกิจและภาคสังคม ทำให้เกิดผลดีและแก้ไขปัญหาสังคมได้ในระยะยาวอย่างแท้จริง เป็นต้น